หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระนามเดิม เจ้าพระยากษัตริย์ศึก ทรงปราบจลาจลภายในกรุงธนบุรีและสร้างความมั่นคงภายในประเทศแล้ว พระองค์ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาและตั้งชื่อใหม่ว่ากรุงเทพฯ ทั้งนี้เนื่องด้วยสาเหตุหลายประการ คือ
พระราชวังเดิมของกรุงธนบุรีคับแคบ มีวัดขนาบอยู่ทั้ง 2 ด้าน คือ วัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) และวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม) ทำให้ไม่สามารถขยายอาณาเขตของพระราชวังให้กว้างขวางขึ้นได้
พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยที่จะให้พระนครแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาผ่ากลางเป็นเสมือนเมืองอกแตก ดังเช่น เมืองพิษณุโลก สุพรรณบุรี เพราะหากข้าศึกยกทัพมาตามลำน้ำ ก็สามารถบุกตีใจกลางเมืองหลวงได้ ทำให้ยากแก่การป้องกันพระนคร ครั้นจะสร้างป้อมปราการทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำ ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองมาก ทำให้ยากแก่การเคลื่อนพลจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นการยากลำบากมาก ดังนั้นพระองค์จึงย้ายพระนครมาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดียว โดยมีแม่น้ำเป็นคูเมืองทางด้านตะวันตก และใต้ ส่วนทางด้านตะวันออกและทางด้านเหนือ โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองขึ้นเพื่อเป็นคูเมืองป้องกันพระนคร
ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่เป็นท้องคุ้ง น้ำกัดเซาะตลิ่งพังทลายอยู่เสมอ จึงไม่เหมาะแก่การสร้างอาคารหรือถาวรวัตถุใดๆ ไว้ริมฝั่งแม่น้ำ
กรุงรัตนโกสินทร์มีความเหมาะสมในการเป็นราชธานี ดังนี้
1) พื้นที่เป็นหัวแหลมมีแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นคูเมืองด้านตะวันตกและด้านใต้ ขุดคลองด้านเหนือและด้านตะวันออกสามารถป้องกันข้าศึกได้เป็นอย่างดี 2) พื้นที่นอกคูเมืองด้านตะวันออกเป็นพื้นที่ลุ่มทะเลตม เป็นด่านป้องกันข้าศึกได้เป็นอย่างดี
3) สามารถขยายเมืองออกไปได้เรื่อยๆ เนื่องจากเป็นท้องทุ่งโล่ง สิริมงคลแก่ราชธานีใหม่
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมีรับสั่งให้สร้างเมืองใหม่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่บริเวณหัวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา คือ บริเวณพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน พระราชทานนามเมืองใหม่นี้ว่า “กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธนา มหาดิลกภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถานอมรพิมาน อวตารสถิต สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงเปลี่ยนจากคำว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์”
ในการสร้างพระมหาบรมราชวัง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นภายในด้วย คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว แล้วให้อัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นประดิษฐาน ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กรุงเทพฯ
ปัจจัยสำคัญในการสร้างความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของกรุงรัตนโกสินทร์ จนเป็นกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน มีดังนี้
1) มีเส้นทางออกสู่ทะเล ทำให้สะดวกในการติดต่อค้าขายกับชาติต่างๆ ได้สะดวก
2) มีลมมรสุมพัดผ่านทั้งลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีฝนตกชุก เหมาะในการประกอบอาชีพเพาะปลูกของราษฎร
3) มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านลงสู่อ่าวไทยทำให้เหมาะสมในการเพาะปลูก และเป็นประโยชน์ในการค้าขาย
4) เป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมทั่วโลกตะวันตกและตะวันออก ซึ่งมาจากการหยุดพักเรือที่เดินทางเข้ามาค้าขาย
5) พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี
ลักษณะการปกครองราชอาณาจักรในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ.2325-2394)
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว การจัดการปกครองราชอาณาจักรยังคงยึดถือประเพณีการปกครองตามแบบอย่างสมัยอยุธยาตอนปลาย และสมัยกรุงธนบุรี มีการปรับปรุงบ้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งสมุหกลาโหมจะได้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ ดังรายละเอียดดังนี้
1. การปกครองส่วนกลาง : การปกครองส่วนกลางนั้นมีการแบ่งหน้าที่หน่วยราชการมีคุมบริหารราชการแผ่นดินภายใต้การบังคับบัญชาของเสนาบดีเป็น 6 กรม คือ
1) กรมมหาดไทย มีอัครเสนาบดีตำแหน่งสมุหนายกเป็นผู้บังคับบัญชาดูแลรับผิดชอบในบริหารฝ่ายทหารและพลเรือนในหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมด ยศและราชทินนามของสมุหนายก ได้แก่ พระยารัตนพิพิธ และเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต กรม 4 กรมที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมมหาดไทย ประกอบด้วย
1) กรมเมือง มีพระยายมราชเป็นเสนาบดี มีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ตัดสินคดีความต่างๆ ในเขตราชธานี
2) กรมวัง มีเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์เป็นเสนาบดี มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบราชการที่เกี่ยวข้องกับพระราชมณเฑียร พระราชวัง พระราชพิธีต่างๆ และตัดสินคดีความเขตพระราชวัง
3) กรมท่า มีเจ้าพระยาพระคลังเป็นเสนาบดี มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับเงินรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน พิจารณาคดีที่เกี่ยวกับพระราชทรัพย์หลวง ติดต่อรับรองชาวต่างประเทศที่มาติดต่อค้าขายและดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองชายทะเล ฝั่งตะวันออกด้วย
4) กรมนา มีพระยาพลเทพเป็นเสนาบดี มีหน้าที่รักษานาหลวง เก็บข้าวดำนาจากราษฎรรวม พิจารณาคดีเกี่ยวกับพื้นที่และโคกระบือด้วย
2) กรมกลาโหม มีอัครเสนาบดีตำแหน่งสมุหพระกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชาดูแลรับผิดชอบในราชการฝ่ายทหารและพลเรือนในหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งหมด ยศและราชทินนามของสมุหพระกลาโหม ได้แก่ เจ้าพระยามหาเสนาบดี
2. การปกครองในส่วนภูมิภาค : รูปแบบการปกครองในส่วนภูมิภาคนั้น การควบคุมบังคับบัญชาหัวเมืองต่างๆ ส่วนภูมิภาคจะขึ้นกับ “อัครเสนาบดี” ทั้งสองตำแหน่ง คือสมุหนายก และสมุหพระกลาโหม กับเสนาบดีกรมท่า ซึ่งแบ่งแยกออกเป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ และหัวเมืองชายทะเล ฝั่งตะวันออกดังได้กล่าวแล้วตอนต้น นอกจากนี้ หัวเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ยังแบ่งออกเป็นลักษณะต่างๆ ตามความสำคัญทางยุทธศาสตร์และราษฎร ดังนี้
1.หัวเมืองชั้นใน เป็นหน่วยปกครองที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง มีฐานะเป็นเมืองจัตวา มีเจ้าเมืองหรือผู้รั้งเมืองดูแล
2.หัวเมืองชั้นนอก แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ 1) หัวเมืองใหญ่ : ประกอบด้วย หัวเมืองที่อยู่ห่างไกล แบ่งออกเป็นหัวเมืองเอก โท ตรี โดยใช้ขนาดและความสำคัญของหัวเมืองเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง หัวเมืองเหล่านี้อยู่ใต้การปกครองของเมืองหลวง 2) หัวเมืองชั้นรอง : หัวเมืองขึ้นกับหัวเมืองใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันมีเจ้าเมืองเป็นผู้ดูแล
3. หัวเมืองประเทศราช : หัวเมืองต่างชาติต่างภาษาอยู่ชายแดนติดกับประเทศอื่น ให้เป็นเมืองประเทศราช มีเจ้านายชนชาตินั้นทำการปกครองกันเองตามจารีตประเพณีของชนชาตินั้นๆ และต้องส่งเครื่องราชบรรณาการแก่เมืองหลวง
2.3 การปกครองในท้องที่ต่างๆ : คงอาศัยตามแบบประเพณีสำคัญ คือ ประกอบด้วย
“หมู่บ้าน” หรือ “บ้าน” แต่ละหมู่บ้านจะมีผู้ใหญ่บ้านซึ่งเจ้าเมืองเป็นผู้แต่งตั้งเป็นหัวหน้า หลายหมู่บ้านรวมเป็น
“ตำบล” แต่ละตำบลจะมี “กำนัน” ซึ่งเจ้าเมืองเป็นผู้แต่งตั้งเป็นหัวหน้า ตัว “กำนัน” จะมีบรรดาศักดิ์เป็น “พัน” หลายตำบลรวมกันเป็
“แขวง” แต่ละแขวงจะมี “เจ้าแขวง” ซึ่งเจ้าเมืองเป็นผู้แต่งตั้งเป็นหัวหน้า หลายแขวงรวมกันเป็น
"เมือง" แต่ละเมืองจะมี “เจ้าเมือง” เป็นหัวหน้า
พัฒนาการด้านเศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
โครงสร้างทางเศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพเช่นเดียวกับ สมัยอยุธยาและธนบุรีคือ แต่ละครอบครัวจะผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือน ที่เหลือจึงนํามาค้าขาย แลกเปลี่ยนกัน การทํามาหากินของคนไทยส่วนใหญ่ยังคงเป็นเกษตรกรรม การทํานา ทําสวนเป็นอาชีพหลัก ในพื้นที่บริเวณกรุงเทพฯ ธนบุรี
สำหรับการค้ากับต่างประเทศอยู่ภายใต้การควบคุมของพระคลังสินค้าที่ผูกขาดการค้ากับต่างประเทศ ดังจะเห็นได้ว่าสมัยรัชกาลที่ 1 และสมัยรัชกาลที่ 2 ไม่สามารถเก็บภาษีอากรได้พอเพียงสำหรับการจ่ายเบี้ยหวัดปีแก้ขุนนาง ข้าราชการ จนต้องนำเงินกำไรจากการค้าสำเภาและต่างประเทศมาใช้จ่ายเพิ่ม
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่3) รายจ่ายของแผ่นดินเพิ่มมากขึ้น จึงต้องหาวิธีเพิ่มพูนรายได้ให้กับท้องพระคลัง ทั้งในด้านการค้าสำเภากับต่างประเทศ รวมทั้งการใช้วิธีประมูลผูกขาดการเก็บภาษีอากร ทำให้ท้องพระคลังมีรายได้เพียงพอกับรายจ่ายอยู่ภายต้การควบคุม
ผลผลิตทางการเกษตรในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่สำคัญ คือ ข้าว น้ำตาล พริกไทย
ทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างรายได้ ประกอบด้วย ไม้สัก ไม้ฝาง ดีบุก รวมทั้งเหล็ก ทองแดง ตะกั่ว ทองคำ
อังกฤษ ส่ง ร้อยเอกเฮนรี เบอร์นีย์ เข้ามาติดต่อทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์กับไทย (มักเรียกว่าสนธิสัญญาเบอร์นีย์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2369 โดยใช้เวลา 5 เดือนจึงสามารถทำสนธิสัญญากับสยามได้สำเร็จ และจัดทำขึ้นเป็น 4 ภาษาได้แก่ ไทย อังกฤษ โปรตุเกส และมลายู โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. ห้ามมิให้พ่อค้าอังกฤษซื้อข้าวเปลือก ข้าวสารบรรทุกออกไปจากกรุงเทพฯ ปืนและกระสุนดินดำ ซึ่งพ่อค้าอังกฤษบรรทุกเข้ามาขายจะขายแก่ใคร ไม่ได้นอกจากทางราชการไทย ถ้าไทยไม่ต้องการ พ่อค้าต้องนำกลับออกไปให้หมด
2. นอกจากข้าว ปืน และกระสุนดินดำ ไทยยอมให้พ่อค้าอังกฤษซื้อขายสินค้าได้โดยสะดวกไม่มีข้อจำกัด โดยเรือบรรทุกสินค้าเข้ามาขายต้องเสียค่าธรรมเนียมปากเรือตามขนาดของปากเรือ วาละ 1700 บาท แต่ถ้าเป็นเรือเปล่าที่จะมาซื้อสินค้าไปขาย ให้เรียกค่าธรรมเนียมปากเรือวาละ 1500 บาท
3. เจ้าพนักงานสยามมีสิทธิ์ลงไปตรวจสอบสินค้าของพ่อค้าชาวอังกฤษ
4. ชาวอังกฤษที่เข้ามาค้าขายในประเทศสยามจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายสยามทุกประการ
หลังจากทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์กับอังกฤษแล้ว สหรัฐอเมริกาก็เริ่มเข้ามาติดต่อและทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์เช่นเดียวกัน การที่พ่อค้าต่างประเทศเริ่มเข้ามาค้าขาย ทำให้สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของพ่อค้าต่างชาติมากขึ้น
พัฒนาการด้านสังคม ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังมีศักดินาอยู่ในสังคมไทย คำว่า "ศักดินา" หมายถึงอำนาจหรือสิทธิที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินตามศักดิ์ของแต่ละคน เดิมเป็นการถือครองที่ดินเป็นจำนวนไร่ ต่อมาเป็นการกำหนดสถานะ สิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบของคนในสังคมสำหรับโครงสร้างสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นประกอบด้วยบุคคลหลายชนชั้นด้วยกัน ดังนี้
พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขสูงสุดของราชอาณาจักร พระองค์ทรงได้รับยกย่องจากพสกนิกรของพระองค์ว่า พระองค์ทรงมีลักษณะเป็น “สมมติเทพ”ตามลัทธิความเชื่อในศาสนา พราหมณ์-ฮินดูเป็น “ธรรมราชา” ตามลัทธิความเชื่อในพระพุทธศาสนา
พระราชวงศ์ หมายถึง เจ้านาย ซึ่งมีลักษณะเป็นเครือญาติของพระมหากษัตริย์บางทีเรียกว่า“พระบรมวงศานุวงศ์” ตำแหน่งของพระบรมวงศานุวงศ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สกุลยศ กับ อิสริยยศ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สกุลยศมีอยู่ 3 ตำแหน่ง คือ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า และหม่อมเจ้า ส่วนอิสริยยศ คือ พระยศเจ้า ที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯให้เลื่อนขึ้น อิสริยยศที่สำคัญที่สุด ได้แก่ มหาอุปราช นอกจากนี้การได้รับตำแหน่งทรงกรมก็ถือเป็นอิสรยยศด้วยเหมือนกัน ได้แก่ กรมหมื่น กรมขุน กรมหลวง และกรมสมเด็จพระ
ขุนนาง คือบุคคลที่รับราชการแผ่นดิน มีศักดินา ยศ ราชทินนาม และตำแหน่งเป็นเครื่องชี้บอกถึงอำนาจและเกียรติยศ ถ้าจะกล่าวอีกันยหนึ่งขุนนางก้คือ บรรดาข้าราชการของแผ่นดิน ขุนนางที่มีศักดินา 400 ไร่ ขึ้นไปจะได้รับโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ แต่ถ้าศักดินาต่ำกว่า 400 ไร่ ลงมา จะได้รับแต่งตั้งจากเสนาบดี ยศของขุนนางมี 8 ลำดับ จากสูงสุดลงมาจนถึงต่ำสุด คือ สมเด็จเจ้าพระยา เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน หมื่น และพัน
ไพร่ คือ ราษฎรที่เป็นชายฉกรรจ์ที่มีความสูงเสมอไหล่ 2 ศอกครึ่ง จะ๔กมูลนายเอาชื่อเข้าบัญชีไว้เพื่อเกณฑ์แรงงานไปใช่ในราชการต่างๆ
ไพร่แบ่งเป็นประเภทตามสังกัดได้เป็น 2 ประเภท
1) ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่ที่พระราชทานแก่กรมกองต่างๆ เป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง ไพร่หลวงแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ไพร่หลวง ที่ต้องมารับราชการตามที่ทางกำหนดให้ หากมาไมได้ต้องให้ผู้อื่นไปแทนหรือส่งเงินมาแทนการรับราชการ และไพร่หลวงที่ต้องเสียเงินแต่ไม่ต้องมารับราชการ เรียกไพร่ประเภทนี้ว่า “ไพร่หลวงส่วย”
2) ไพร่สม หมายถึง ไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แกเจ้านายและขุนนางที่มีตำแหน่งทำราชการเพื่อประโยชน์ เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีเงินเดือน การควบคุมไพร่ของมูลนาย หมายถึง การได้รับผลประโยชน์ตอบแทน เช่น ส่วนลดจากการเก็บเงินค่าราชการของกำนันจากไพร่ เป็นต้น
ทาส หมายถึง บุคคลที่มิได้เป็นกรรมสิทธิ์ในแรงงานและชีวิตของตนเองแต่กลับตกเป็นทาสของนายจนกว่าจะได้รับการไถ่ตัวพ้นจากความเป็นทาส นายมีสิทธิในการซื้อขายทาสได้ลงโทษทุบตีทาสได้ แต่จะให้ถึงตายไม่ได้ ทาสมีศักดินา 5 ไร่ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทาสมีหลายประเภท เช่น ทาสสินไถ่ (ทาสไถ่มาด้วยทรัพย์) ลูกทาสที่เกิดในเรือนเบี้ย ทาสที่ได้มาจากข้างฝ่ายบิดามารดา เป็นต้น
พระภิกษุสงฆ์ เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา จึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน เป็นที่เคารพนับถือของคนไทยทุกระดับ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประมุขฝ่ายพระสงฆ์ สมเด็จพระสังฆราชจะได้รับสถาปนาจากพระมหากษัตริย์
พระภิกษุสงฆ์จะมีตำแหน่งสูงต่ำลดหลั่นกันไป นับตั้งแต่พะภิกษุสงฆ์ธรรดา พระครู พระราชาคณะ และสูงสุดคือ สมเด็จพระสังฆราชประมุขของคณะสงฆ์และมีศักดินาลดหลั่นกันไปตามลำดับ
การชำระแก้ไขและปรับปรุงกฎหมาย
เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2310 กฎหมายไทยได้สูญหายและถูกเผาทำลายไป รัชกาลที่ 1 ทรงโปรด ให้รวบรวมและชำระกฎหมาย เมื่อแล้วเสร็จทรงโปรดให้อาลักษณ์คัดลอกไว้ 3 ฉบับทุกฉบับได้ประทับตราคชสีห์ ตราราชสีห์และตราแก้ว ซึ่งเป็นตราประจำตำแหน่งสมุหพระกลาโหม สมุหนายกและเจ้าพระยาพระคลัง ตามลำดับ กฎหมายฉบับนี้จึงมีชื่อว่ากฎหมายตราสามดวง หรือเรียกว่า ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1 ซึ่งใช้เป็นกฎหมายปกครองประเทศมาจนถึงรัชกาลที่ 5
พัฒนาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1-รัชกาลที่ 3)
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน นโยบายต่างประเทศที่สำคัญของไทยเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีดังนี้
การป้องกันเอกราชของประเทศ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
1) ความสัมพันธ์กับพม่า ไทยทำสงครามกับพม่าทั้งหมด 10 ครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ 1 นี้มีการทำสงคราม 7 ครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ 2 1 ครั้ง สมัยรัชกาลที่ 3 1 ครั้ง และในสมัยรัชกาลที่ 4 1 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่ของสงครามในระยะหลังเป็นสงครามย่อยๆ เนื่องจากกรณีพิพาทกันแถบชายแดนระหว่างประเทศ ครั้งสำคัญที่สุดเกิดในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คือ ศึกเก้าทัพ เป็นสงครามที่ไทยต้องรับศึกหนัก เพราะพม่าได้ใช้กำลังเข้าตีไทยจากทุกด้านในเวลาเดียวกัน หวังจะให้ไทยพะว้าพะวัง แบ่งกำลังออกรับศึกที่มาทุกทิศทุกทาง โดยไม่ต้องการให้ไทยสามารถรวมกำลังได้ ส่วนไทยกำลังพลน้อยกว่าพม่าถึงครึ่งต่อครึ่ง ถ้าจะแบ่งทหารออกไปรักษาเขตแดนทุกทางที่พม่าจะยกเข้ามา กำลังฝ่ายไทยจะอ่อนแอและเสียเปรียบ อีกประการหนึ่งไทยพึ่งสร้างเมืองใหม่ได้ 3 ปีเท่านั้น ไม่ทันได้ปรับปรุงหัวเมืองทางภาคเหนือจึงทำให้ขาดกำลงต้านทานไป ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีความเห็นพ้องต้องกันว่าควรรับศึกทางด้านที่สำคัญก่อน ด้านที่ไม่สำคัญนักจะปล่อยไว้ชั่วคราว เมื่อสามารถเอาชัยชนะข้าศึกที่เป็นทัพสำคัญได้แล้วจึงจะหันไปปราบข้าศึกทางอื่นต่อไป
การจัดทัพของพม่า การรบครั้งนี้พระเจ้าปดุงจอมทัพ ทรงจัดทัพ ดังนี้
ทัพที่ 1 แบ่งเป็นทัพบกและทัพเรือ ทัพบกมีหน้าที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้ของไทย ตั้งแต่เมืองชุมพรถึงสงขลา เป็นการตัดความช่วยเหลือจากทางใต้ ส่วนทัพเรือมีหน้าที่ตีหัวเมืองชายทะเลทางฝั่งตะวันตก ตั้งแต่เมืองตะกั่วป่าลงไปจนถึงเมืองถลาง และยังมีหน้าที่หาเสบียงอาหารให้แก่กองทัพด้วย
ทัพที่ 2 ให้รวบรวมพลที่ทวายและให้เดินทัพเข้าทางด้านบ้องตี้ (อยู่จังหวัดราชบุรี) ให้ตีเมืองราชบุรี เพชรบุรี ไปบรรจบกับทัพที่ 1 ที่ชุมพร
ทัพที่ 3 เข้าทาทางเมืองเชียงแสน ตีเมืองลำปาง สวรรคโลก สุโขทัย นครสวรรค์ ลงมาบรรจบกับทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
ทัพที่ 4, 5, 6, 7, 8 ชุมนุมทัพที่เมืองเมาะตะมะก่อน ต่อจากนั้นจึงเดินทัพตามลำดับกันเข้าเมืองไทย ทางด่านเจดีย์สามองค์ ลงมาตีกรุงเทพฯ
ทัพที่ 9 มีหน้าที่ตีหัวเมืองเหนือริมฝั่งแม่น้ำปิง ตั้งแต่เมืองตาก กำแพงเพชร ลงมาบรรจบกับทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
การจัดทัพของไทย มีดังนี้
ทัพที่ 1 ทางด้านเหนือให้กรมพระราชวังหลัง ในขณะนั้นยังทรงดำรงยศเจ้าฟ้ากรมหลวงอรุรักษ์เทเวศร์ เป็นแม่ทัพคอยรับทัพพม่าทางด้านเหนือ ไม่ให้ยกทัพเข้ากรุงเทพฯได้
ทัพที่ 2 ทางด้านกาญจนบุรีเป็นทัพใหญ่กว่าทุกด้าน ให้คอยตั้งรับพม่าที่ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ทัพนี้เป็นทัพสำคัญ เพราะพระเจ้าปดุงยกทัพเข้ามาด่านนี้ แม่ทัพคนสำคัญคือ สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ทัพที่ 3 ทางตะวันตกเฉียงใต้ มีหน้าที่รักษาทางลำเลียงของกองทัพที่ 2 และคอยต้านทางทัพพม่าที่จะยกมาจากทางใต้ และที่จะเข้ามาทางด่านบ้องตี้ แม่ทัพคนสำคัญคือ เจ้าพระยาธรรมากับเจ้าพระยายมราช
ทัพที่ 4 ทัพหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเป็นจอมทัพตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นกองหนุน ถ้าข้าศึกด้านไหนหนักจะได้ยกไปช่วยได้ทันการ
ในศึกเก้าทัพนี้ ทำให้เกิดวีสตรี 2 ท่าน คือ คุณหญิงจัน ภรรยาเจ้าเมืองถลาง และคุณมุกน้องสาว ได้แสดงความกล้าหาญ รวบรวมผู้คนป้องกันเมืองถลางไว้ได้ โดยใช้อุบายหลอกล่อทหารพม่า เสร็จศึกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คุณหญิงจัน เป็นท้าวเทพกระษัตรี คุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทร
การขยายอาณาเขตและป้องกันดินแดนประเทศราช
อาณาเขตของไทยในสมัยรัชกาลที่ 1 มีอาณาเขตกว้างขวางมาก นอกจากดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันแล้วยังรวบรวมเอาดินแดนของประเทศลาว เขมร หัวเมืองมลายูตอนเหนือ และดินแดนตอนล่างของพม่าที่เป็นหัวเมืองทวาย มะริด และตะนาวศรี
1) ความสัมพันธ์กับเขมร อยู่ในลักษณะการทำสงครามเพื่อขยายอำนาจเข้าครอบครอง เพราะไทยต้องการให้เขมรเป็นรัฐกันชนระหว่างไทยกับญวน โดยในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้ทรงแต่งตั้งกษัตริย์ปกครองเขมร แต่ในสมัยรัชกาลที่ 2 เขมรได้เอาใจออกห่างไทยโดยหันไปฝักใฝ่กับญวนแทน จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทัพไปขับไล่ญวนออกจากเขมร แล้วให้ตีลงไปจนถึงไซ่ง่อน ในที่สุดไทยกับญวนก็ได้ร่วมกันแก้ไขข้อพิพาทร่วมกันโดยให้เขมรส่งบรรณาการแก่ไทยและญวนอย่างเท่าเทียมกัน ปัญหาระหว่างไทยกับญวนเรื่องเขมรจึงยุติลง
2) ความสัมพันธ์กับญวน ส่วนใหญ่จะเป็นการทำสงครามต่อกันเพื่อแย่งชิงเขมร ในสมัยรัชกาลที่ 3 ในสงครามอันนัมสยามยุทธ์ โดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด ภายหลังเมื่อญวนเกิดข้อพิพาทกับฝรั่งเศส จึงได้เปิดเจรจากับไทย ทำให้ยุติสงครามระหว่างกันได้ และหลังจากญวนได้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้วความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญวนก็ได้ยุติลงอย่างเป็นทางการ
3) ความสัมพันธ์กับมลายู ลักษณะความสัมพันธ์จะเป็นทางด้านการเมือง โดยไทยพยายามขยายอิทธิพลเข้าไปครอบครองทั้งทางด้านการผูกมิตรไมตรี และการทำสงครามในบางครั้งการเจริญสัมพันธไมตรี
4) ความสัมพันธ์กับจีน เพื่อผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ โดยมีลักษณะพิเศษ เรียกว่า ลักษณะการค้าแบบรัฐบรรณาการ หรือ จิ้มก้อง โดยรัฐจะส่งฑูตพร้อมเครื่องบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีน ราชสำนักจีนถือว่าอ่อนน้อมและให้การรับรองกษัตริย์ของรัฐนั้นๆ อนุญาตให้ทำการค้ากับจีนได้ ซึ่งนอกจากไทยจะได้ประโยชน์จากการค้าขายกับจีนแล้ว ยังได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจีนหลายประการด้วย
5) ความสัมพันธ์กับล้านนา ในสมัยรัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 3 เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน เช่น รัชกาลที่ 1 ทรงส่งกองทัพไปช่วยล้านนาขับไล่พม่า ทั้งยังทรงสถาปนาพระยากาวิละที่รบชนะพม่าให้เป็นพระเจ้าเชียงใหม่ โดยปกครองดูแลหัวเมืองเหนือทั้งหมด เป็นต้น
6) ความสัมพันธ์กับมอญ สมัยรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ ความสัมพันธ์จะอยู่ในลักษณะการผูกไมตรีและอุปถัมภ์พวกมอญ
7) ความสัมพันธ์กับล้านช้าง นับว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันนั้น ลักษณะความสัมพันธ์มีอยู่หลายลักษณะผสมผสานกัน คือ มีทั้งความสัมพันธ์ในด้านการเมืองที่ไทยพยายามขยายอิทธิพลเข้าไปครอบงำ มีการผูกมิตรไมตรี และในบางช่วงมีการทำสงครามทำศึกกัน
ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
1) โปรตุเกส มีความสัมพันธ์ในลักษณะผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ มีการทำสัญญาผูกมัดทางด้านการค้า และเป็นฝรั่งชาติแรกที่เข้ามาติดต่อกับไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือชาวโปรตุเกส ชื่อ อันโตนิโอ เดอ วิเสนท์ (Antonio de Veesent) คนทั่วไป รียกว่า “องคนวีเสน” เป็นอัญเชิญพระราชสาสน์จากกรุงลิสบอนมายังประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้การต้อนรับอย่างใหญ่โตและทรงให้องตนวีเสนเข้าเฝ้าด้วย และทางไทยได้มีพระราชสาสน์ตอบมอบให้องตนวีเสนเป็นผู้อัญเชิญกลับไป ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ.2361 ได้ส่งเรือชื่อ มาลาพระนคร ออกไปค้าขายกับโปรตุเกสที่เมืองมาเก๊า ในการติดต่อครั้งนี้ไทยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ขากลับข้าหลวงโปรตุเกสที่มาเก๊าได้ส่ง คาร์ลอส มานูแอล ซิลเวียรา (Carlos Manuel Silviera) เป็นทูตอัญเชิญพระราชสาสน์เข้ามาขอเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย พร้อมทั้งส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้มากมาย โดยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี ในขณะนั้นไทยมีความประสงค์จะซื้ออาวุธปืน ซึ่งโปรตุเกสก็ยินยอมจัดหาซื้อปืนคาบศิลาให้ไทยถึง 400 กระบอก
พ.ศ.2363 กษัตริย์โปรตุเกสมีพระราชประสงค์จะขอตั้งสถานกงสุลขึ้นในประเทศไทย ขอให้คาร์ลอส มานูแอล ซิลเวียรา เป็นกงสุลโปรตุเกสประจำประเทศไทย ซึ่งไทยก็ยอมแต่โดยดี ซึ่งนับว่าเป็นการตั้งสถานกงสุลต่างประเทศเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ และรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คาร์ลอส เดอ มานูแอล ซิลเวียรา รับราชการเป็นขุนนาง พระราชทานตำแหน่งให้เป็น หลวงอภัยพานิช
2) อังกฤษ สมัยรัชกาลที่ 1 พระยาไทรบุรี คือ อับดุลละ โทกุรัมซะ ตกลงเซ็นสัญญาให้อังกฤษเช่าเกาะหมาก (ปีนัง) และสมารังไพร ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ตรงข้ามเกาะหมากปีละ 1,000 เหรียญ ซึ่งดินแดนเหล่านี้อยู่ในความดูแลของไทย เหตุที่พระยาไทรบุรีให้อังกฤษเช่าดินแดนทั้ง 2 นี้ ก็เพื่อหวังพึ่งอังกฤษให้พ้นจากอิทธิพลของไทย แต่อังกฤษก็พยายามผูกไมตรีกับไทย โดยให้ ฟรานซิส ไลท์ หรือกับปตันไลท์ (Francis Light) นำดาบประดับพลอยกับปิ่นด้ามเงินมาทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 1 พระองค์จึงทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ว่า “พระยาราชกปิตัน” ซึ่งเป็นชาวยุโรปคนแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ที่เข้ารับราชการเป็นขุนนาง และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์
สมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ.2365 มาร์ควิส เฮสติงส์ (Marquis Hestings) ผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่อินเดีย ได้ส่งนายจอห์น ครอว์เฟิร์ด (John Craeford) หรือที่คนไทยเรียกว่า “การะฟัด” นำเครื่องราชบรรณาการเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย พร้อมมาขอเจรจาเพื่อทำสนธิสัญญากับไทยโดยมุ่งหวังจะขยายตลาดการค้าเข้ามาในไทย ให้ไทยยอมรับการเช่าเกาะหมากและสมารังไพรของอังกฤษ ขอให้ไทยยกเลิกและลดหย่อนการเก็บภาษีบางอย่าง และต้องการมาศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของบ้านเมืองไทยให้ละเอียด เพื่อจะได้ทำแผนที่และทำรายงานเกี่ยวกับพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ต่างๆ ประชากร สภาพความเป็นอยู่และความเป็นไปของไทยต่อรัฐบาลอังกฤษ แต่ปรากฏว่าการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ
เริ่มสมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษทำสงครามกับพม่า และได้ขอร้องให้ไทยยกกองทัพไปช่วยปราบพม่า แต่เกิดเหตุผิดใจกันไทยจึงยกทัพกลับหมด ต่อ ลอร์ด แอมเฮิร์สต์ (Lord Amgerst) ผู้สำเร็จราชการอังกฤษประจำอินเดียได้ ส่งร้อยเอก เฮนรี เบอร์นี (Henry Berney) เป็นทูตเข้ามาเจรจาขอทำสนธิสัญญากับไทย โดยมีจุดมุ่งหมาย ดังนี้
1. เพื่อขอให้ไทยส่งกองทัพไปช่วยอังกฤษรบพม่า
2. เพื่อต้องการตกลงเรื่องเมืองไทรบุรีและหัวเมืองมลายู
3. เพื่อชักชวนให้ไทยยอมทำสนธิสัญญาทางการค้ากับอังกฤษ
4. เพื่อสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างไทยกับอังกฤษ
สนธิสัญญาฉบับนี้ได้ทำเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2369 เป็นสนธิสัญญาโดยสมบูรณ์ฉบับแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นสนธิสัญญาทางพระราชไมตรี เรียกว่า “สนธิสัญญาเบอร์นี มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ไทยกับอังกฤษจะมีไมตรีอันดีต่อกัน ไม่คิดร้ายหรือรุกรานดินแดนซึ่งกันและกัน
2. เมื่อเกิดคดีความขึ้นภายในอาณาเขตประเทศไทย ก็ให้ไทยตัดสินตามกฎหมายและขนบธรรมเนียมและประเพณีของไทย
3. ทั้งสองฝ่ายจะอำนวยความสะดวกในด้านการค้าซึ่งกันและกัน และอนุญาตให้ฝ่ายตรงข้ามเช่าที่ดินเพื่อตั้งโรงสินค้า ร้านค้า หรือบ้านเรือนได้
4. อังกฤษยอมรับว่าดินแดนไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู เประ เป็นของไทย
ส่วนสนธิสัญญาฉบับที่ 2 เป็นสนธิสัญญาทางการค้า มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ห้ามนำฝิ่นเข้ามาขายในไทย และห้ามนำข้าวสาร ข้าวเปลือกออกนอกประเทศไทย
2. อาวุธและกระสุนดินดำที่อังกฤษนำมาต้องขายให้แก่รัฐแต่ผู้เดียว ถ้ารัฐไม่ต้องการต้องนำออกไป
3. เรือสินค้าที่เข้ามาต้องเสียภาษีเบิกร่องหรือภาษีปากเรือ
4. อนุญาตให้พ่อค้าอังกฤษค้าขายโดยเสรี
5. ถ้าพ่อค้าหรือคนในบังคับอังกฤษ พูดจากดูหมิ่นหรือไม่เคารพขุนนางไทย อาจถูกขับไล่ออกจากไทยได้ทันที
ผลของสนธิสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ ทำให้ไทยกับอังกฤษมีความผูกมัดซึ่งกันและกัน มีความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน
ต่อมาอังกฤษต้องการได้ สิทธิภาพนอกอาณาเขต เหนือดินแดนไทย ลอร์ด ปาเมอร์สตัน (Lord Palmerston)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จึงส่งเซอร์ เจมส์ บรุค (James Brooke) เป็นทูตมาขอแก้ไขสนธิสัญญากับไทย พ.ศ.2393 โดยขอลดภาษีปากเรือ ขอตั้งสถานกงสุลในไทย ขอนำฝิ่นเข้ามาขาย และขอนำข้าวออกไปขายนอกประเทศ แต่ขณะนั้นรัชกาลที่ 3 กำลังทรงพระประชวร จึงไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า
3) สหรัฐอเมริกา พ.ศ.2364 สมัยรัชกาลที่ 2 พ่อค้าอเมริกาชื่อ กัปตันแฮน (Captain Han) เดินทางเข้ามาค้าขายที่กรุงเทพฯ เป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย และได้นำปืนคาบศิลามาถวายแด่รัชกาลที่ 2 จำนวน 500 กระบอก รัชกาลที่ 2 จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น หลวงภักดีราช หรือหลวงภักดีราชกปิตัน และได้พระราชทานสิ่งของให้คุ้มค่ากับราคาปืนทั้งหมด ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้งดเว้นการเก็บภาษีจังกอบอีกด้วย
สมัยรัชกาลที่ 3 ประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจคสัน (Andrew Jackson) ได้ส่ง นาย เอ็ดมันด์ โรเบอร์ต (Edmund Robert) คนไทยเรียกว่า “เอมินราบัด” เป็นทูตเดินทางเข้ามาขอทำสนธิสัญญาการค้ากับไทย ซึ่งมีใจความทำนองเดียวกับที่ไทยทำกับอังกฤษ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2375 และ พ.ศ.2393 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ส่ง นายโจเซฟ บัลเลสเตียร์ ((Joseph Balestier) เข้ามาขอแก้สนธิสัญญาฉบับเก่า แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ