ประวัติศาสนาอิสลาม
“อิสลาม” เป็นคำภาษาอาหรับ แปลว่า การยอมจำนน การปฏิบัติตาม และการนอบน้อม เมื่อนำคำว่า “อิสลาม” มาเป็น ชื่อของศาสนาจึงมีความหมายว่าเป็นศาสนาแห่งการยอมนอบน้อม จำนนต่อพระเจ้า คือ อัลลอฮ์ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาสุดท้ายที่ถูกประทานลงมาจากชั้นฟ้า ด้วยความพอพระทัยของอัลลอฮ์ ที่มอบให้แก่มวลมนุษยชาติ พระองค์ ทรงส่งท่านศาสดามุฮัมมัด บุตรอับดุลลอฮ์ มาเป็นความเมตตาแก่ชาวโลก ทั้งหลาย เพื่อยืนยันความเป็นเอกะของพระองค์ นำมวลมนุษย์ออกจาก ความมืดสู่แสงสว่าง พร้อมทั้งยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์ ด้วยความพอใจและสมัครใจ ปฏิบัติตามคำบัญชาใช้ของพระองค์และ ออกห่างไกลจากคำสั่งห้ามของพระองค์ พร้อมทั้งยึดมั่นในจริยธรรมอันสูงส่ง แห่งอิสลาม โดยการปฏิบัติศาสนกิจตามหลักการอิสลาม ๕ ประการ และหลักศรัทธาอีก ๖ ประการ เพื่อให้เกิดคุณธรรมในจิตสำนึก อันจะ นำมาซึ่งการเกื้อกูลกันในสังคม “มุสลิม” เป็นคำภาษาอาหรับเช่นกัน หมายถึง ผู้ที่นอบน้อม และยอมจำนนต่อข้อบัญญัติของอัลลอฮ์และหมายถึงผู้ที่ยอมรับนับถือ ศาสนาอิสลาม อิสลาม เป็นศาสนาที่ถูกกำหนดมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลก ซึ่งมีพระนามว่า อัลลอฮ์ ดังนั้นอิสลามจึงเริ่มต้นตั้งแต่มีมนุษย์คนแรก ในโลกนี้คือ อาดัม ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นมาจากดิน และสร้างคู่ครองของเขา คือ เฮาวาอ์จากกระดูกซี่โครงด้านซ้ายของเขา และทั้งสองได้ก่อให้เกิด เผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นก๊กเป็นเหล่า จวบจนโลกพบกับจุดจบ
ในทุกยุคทุกสมัยอัลลอฮ์ได้แต่งตั้งศาสนทูตของพระองค์ เพื่อทำ หน้าที่สั่งสอนผู้คนให้รู้จักพระเจ้าที่แท้จริง และปฏิบัติตามข้อบัญญัติของ พระองค์ ตามที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน จนกระทั่งถึงยุคของศาสดา มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้เผยแพร่ข้อบัญญัติจากอัลลอฮ์ โดยใช้ชื่อว่า อิสลาม หรือศาสนาอิสลาม ดังนั้นผู้คนทั้งหลายจึงมักเข้าใจว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นใหม่ เมื่อ ๑,๔๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา อิสลามเป็นคำสอนที่อัลลอฮ์ได้กำหนดให้แก่มวลมนุษยชาติ ในโลกนี้ ไม่ใช่คำสอนที่ถูกกำหนดมาเพื่อเฉพาะกลุ่มชนชาวอาหรับเท่านั้น เพียงแต่ว่าศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นชาวอาหรับ จึงเริ่มเผยแพร่จากถิ่นที่อยู่ของท่านและได้ขยายออกสู่ดินแดนต่างๆ ของโลก
อิสลามในประเทศไทย
ศาสนาอิสลามมีจุดเริ่มต้นการเผยแพร่จากคาบสมุทรอาหรับ และได้ขยายเข้าสู่ดินแดนต่างๆ ของโลก รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย รวมถึงตอนใต้ของประเทศไทย โดยพ่อค้า ชาวอาหรับที่เดินทางเข้ามาค้าขาย พร้อมนำหลักปฏิบัติของอิสลามที่งดงาม เข้ามาเผยแพร่ จนได้รับการยอมรับจากประชาชนในดินแดนเหล่านั้น ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์อิสลามได้ขยายเข้าสู่ภาคกลางและ ภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทย โดยการอพยพและย้ายถิ่นฐานของมุสลิม นอกจากนี้ยังมีมุสลิมชาวต่างชาติที่ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดน ของไทยด้วย
ประวัติศาสดา
การเกิด ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เกิดที่นครมักกะฮ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย ตั้งอยู่แถบตะวันออกกลาง ท่านเกิด เมื่อเวลาเช้าตรู่ของวันที่ ๑๒ เดือนร่อบีอุ้ลเอาวัล ปีช้าง สาเหตุที่เรียกว่าปีช้าง เพราะเป็นปีที่กษัตริย์อับรอหะฮ์ได้นำกองทัพช้างมาเพื่อทำลายกะอ์บะฮ์ แต่ไม่สามารถทำลายได้เพราะอัลลอฮ์ได้ทำลายกองทัพนั้นเสียก่อน ซึ่งตรงกับ วันที่ ๒๒ เมษายน ค.ศ. ๕๗๑ หรือ พ.ศ. ๑๑๑๔ เมื่อท่านอับดุลมุฏฏอลิบ ผู้เป็นปู่ได้ทราบข่าวการเกิด จึงได้รีบไปเยี่ยมและได้ตั้งชื่อให้หลานชายว่า “มุฮัมมัด” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ได้รับการสรรเสริญ” เชื้อสาย บิดาของท่านชื่อ อับดุลลอฮ์ เป็นบุตรของอับดุลมุฏฏอลิบ บุตรของฮาชิม บุตรของอับดุมะนาฟ บุตรของกุศ็อย บุตรของกิลาบ มารดา ของท่านชื่อ อามีนะฮ์ บุตรีของวะฮับ บุตรของอับดุมะนาฟ บุตรของชุรอฮฺ บุตรของกิลาบ บิดาและมารดาของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ ซัลลัม เป็นต้นตระกูลเดียวกัน หรือเผ่าเดียวกัน คือเผ่ากุร็อยช์ บิดาของท่าน เสียชีวิตในขณะท่านอยู่ในครรภ์มารดา และต่อมามารดาของท่านก็เสียชีวิตอีก ในขณะที่ท่านมีอายุได้๖ ปีท่านศาสดาจึงได้ไปอยู่กับปู่ชื่อ อับดุลมุฏฏอลิบ และเมื่อปู่เสียชีวิต ท่านได้ไปอยู่กับลุงชื่อ อะบูฏอลิบ ในวัยเด็กท่านเคยทำงานโดยมีอาชีพรับจ้างเลี้ยงแพะ เลี้ยงแกะ ให้แก่ชาวมักกะฮ์และได้เคยติดตามลุงไปค้าขายยังประเทศชาม (ซีเรีย) สองครั้ง ครั้งแรก ไปเมื่ออายุ๑๒ ปีและครั้งที่สอง ไปเมื่ออายุ๒๕ ปี
ในขณะที่ท่านมีอายุ ๒๕ ปีนั้น ท่านไปทำการค้าให้แก่ ท่านหญิง คอดีญะฮ์ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการค้าในนครมักกะฮ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีไมตรีและมิตรภาพ ประกอบกับมีประสบการณ์ในเรื่องการค้าขายเมื่อสมัย ที่ยังอยู่กับลุง จึงทำให้กิจการค้าของท่านหญิงคอดีญะฮ์เจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ ซึ่งต่อมาท่านหญิงคอดีญะฮ์ได้ขอแต่งงานกับท่าน ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ ๒๕ ปีส่วนท่านหญิงคอดีญะฮ์อายุได้๔๐ ปีซึ่งเป็นหญิงหม้าย
คัมภีร์
คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม เรียกว่า คัมภีร์อัลกุรอาน เนื้อหา ในคัมภีร์นี้ทั้งหมดเป็นวจนะของพระเจ้า ที่ได้ประทานแก่ท่านศาสดา นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผ่านทางสื่อคือเทวทูตญิบรีล เพื่อนำไปเผยแพร่แก่มวลมนุษย์ ศาสดานบีมุฮัมมัดเป็นบุคคลที่อัลลอฮ์ ทรงเลือกให้ทำหน้าที่ประกาศศาสนา และเป็นผู้นำในการปฏิบัติศาสนกิจ ตามคำสอนของพระองค์อัลลอฮ์ประทานคัมภีร์แก่ท่านศาสดาเป็นระยะๆ รวมเวลาทั้งสิ้น ๒๓ ปีแบ่งเป็นสองช่วง คือ ช่วงก่อนการอพยพเป็นเวลา ๑๓ ปีเรียกว่า “มักกียะห์” และช่วงหลังการอพยพเป็นเวลา ๑๐ ปีเรียกว่า “มะดะนียะห์” เมื่อได้รับโองการมาท่านจะอ่านให้สาวกฟังและให้จดบันทึก ลงบนแผ่นหิน หนังสัตว์กระดาษ กาบอินทผาลัม และวัสดุอื่นๆ เก็บไว้
คัมภีร์อัลกุรอาน มีความหมายทางภาษาว่า “คัมภีร์ที่ถูกอ่าน” มี๓๐ ภาค (ญุซอ์) ๑๑๔ บท (ซูเราะห์) และ ๖,๒๓๖ วรรค (อายะห์) เป็น แนวทางการปฏิบัติสำหรับบุคคลและสังคม มีคำสอนเกี่ยวกับการทำความดี การดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกัน การแต่งงาน ความตาย อาชีพ การทำมาหากิน รวมทั้งมีเรื่องวิทยาศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย และสังคมไว้อย่าง ครบถ้วน ภาษาที่ใช้บันทึกคัมภีร์อัลกุรอาน คือ ภาษาอาหรับ ข้อความ ในคัมภีร์เป็นภาษาที่ไพเราะ มิใช่ร้อยแก้ว และมิใช่ร้อยกรอง แต่ก็มีสัมผัส ในแบบของตัวเอง ปัจจุบันนี้ได้มีการแปลคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก มุสลิมถือว่าทุกคำและทุกตัวอักษรของคัมภีร์อัลกุรอานมาจากอัลลอฮ์ และเป็นความจริงที่บริสุทธิ์และเป็นธรรมนูญสำหรับชีวิต
หลักการพื้นฐานอิสลาม
หลักการพื้นฐานของอิสลามคือหลักทางด้านศาสนา อันประกอบด้วย หลักศรัทธา (อัรกานุลอีมาน) หลักปฏิบัติศาสนกิจ (อัรกานุลอิสลาม) และ หลักศีลธรรม (เอี๊ยะห์ซาน)
ความศรัทธา (อัลอีมาน)
ความศรัทธาในความหมายทั่วไปคือ การที่จิตใจยึดมั่น โดยไม่มี ข้อสงสัยหรือข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมกล่าวคำยืนยันในเอกภาพของ อัลลอฮ์และลงมือปฏิบัติในข้อปฏิบัติต่างๆ จึงจะเป็นศรัทธาที่สมบูรณ์ ศรัทธานั้นจะต้องเกิดขึ้นด้วยหลักฐานประกอบ จะศรัทธาโดย ความงมงายเชื่อตามผู้อื่นบอกไม่ได้ หลักฐานประกอบศรัทธาสามารถแบ่งได้เป็น ๒ ประการ คือ หลักฐาน จากบทบัญญัติ(ดะลีลนักลี) และหลักฐานจากสติปัญญา (ดะลีลอักลี)
๑. หลักฐานจากบทบัญญัติ(ดะลีลนักลี) หลักฐานจากบทบัญญัติ คือ โองการจากอัลกุรอาน หรือ วจนะของท่านศาสดาซึ่งถือเป็นหลักฐานขั้นเด็ดขาดที่จะโต้แย้งไม่ได้ เป็นบรรทัดฐานอันสำคัญสำหรับกำหนดโครงสร้างแห่งศรัทธา การศรัทธา อันมีอยู่นอกเหนือไปจากบทบัญญัติดังกล่าวเป็นศรัทธาที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ผู้นับถือศาสนาอิสลามจึงจำเป็นต้องยกเลิกความ ศรัทธาดั้งเดิมก่อนรับอิสลามโดยสิ้นเชิง และสร้างศรัทธาขึ้นมาตาม หลักศรัทธาอิสลามอันตรงกับบทบัญญัติระหว่างความศรัทธาทั้งสอง จะนำมาผสมผสานให้กลมกลืนกันไม่ได้ ในยุคของท่านศาสดามุฮัมมัดนั้นพวกอาหรับเมื่อรับอิสลาม ในระยะแรกๆ ก็ยังไม่สามารถจะสลัดความเชื่อดั้งเดิมทิ้งได้ ต้องใช้เวลานาน พอสมควรจึงจะมีศรัทธาอย่างบริสุทธิ์แท้จริง บทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับ หลักศรัทธา อันนำมาเป็นหลักฐานในความศรัทธานั้น เมื่อระบุว่าเกี่ยวกับ คุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร ก็จะถือเป็นคุณลักษณะแท้จริง ของพระองค์ เช่น อัลกุรอาน ระบุว่า พระองค์ทรงอำนาจ ทรงสัพพัญญู ทรงเมตตา เป็นต้น คุณสมบัติเหล่านี้เป็นคุณสมบัติอันได้มาจากหลักฐาน จากบทบัญญัติซึ่งมุสลิมทุกคนจะต้องเชื่อ
๒. หลักฐานจากสติปัญญา (ดะลีลอักลี) การเชื่อถือศรัทธา จะต้องมาจากการยอมรับของสติปัญญา อีกส่วนหนึ่งด้วย เป็นส่วนประกอบและหลักฐานจากสติปัญญานี้จะต้อง ดำเนินสอดคล้องกับหลักฐานจากบทบัญญัติจะค้านกันหรือขัดแย้งกันไม่ได้ เด็ดขาด อาทิ เมื่อหลักฐานจากบทบัญญัติระบุว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงอำนาจ สติปัญญาก็จะแสวงหาเหตุผลตามพื้นฐานของปัญญามาประกอบ จนเป็น ที่ยอมรับอย่างไม่คลอนแคลนว่าพระองค์ทรงอำนาจ เมื่อหลักฐานจากบทบัญญัติระบุว่าพระผู้เป็นเจ้า ทรงสัพพัญญู สติปัญญาก็จะแสวงหาเหตุผลจนเป็นที่ยอมรับว่าพระองค์สัพพัญญู โองการจากอัลกุรอานได้บัญญัติให้มนุษย์ใช้สติปัญญาตรึกตรอง และพิจารณาถึงสรรพสิ่งทั้งหลายมากกว่า ๓๐๐ แห่ง ซึ่งสรรพสิ่งเหล่านี้ เป็นหลักฐานแสดงถึงความมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้า
หลักศรัทธา (อัรกานุลอีมาน)
หลักศรัทธา มี๖ ประการ ดังต่อไปนี้
๑. ศรัทธาในอัลลอฮ์ พระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น มุสลิม ทุกคนต้องยึดมั่นในพระองค์อย่างแน่นแฟ้น ไม่สงสัยหรือลังเล พระองค์ ทรงไว้ซึ่งคุณลักษณะอันสมบูรณ์ที่สุด มุสลิมยึดมั่นว่าพระองค์ทรงบันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใด เกิดขึ้นมาเองโดยลำพังอำนาจของสิ่งนั้น แท้จริงแล้วพระองค์ทรงไว้ ซึ่งเดชานุภาพ ทรงไว้ซึ่งอำนาจอันสูงสุด ทรงเอกสิทธิ์ในการปกครอง และการบริหาร ทรงเป็นที่พึ่งของทุกสิ่งสรรพ ทรงกำหนดการดำเนินชีวิต ของมนุษย์และสัตว์รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งมวล พระองค์ทรงสัพพัญญูทรงพระปรีชา ทรงปกาศิต ทรงนิรันดร์ ทรงดำรงโดยพระองค์เองไม่อาศัยปัจจัยอื่น ทรงแตกต่างไปจากทุกๆ สิ่ง พระองค์ทรงไร้ตัวตน พระองค์ไม่ให้กำเนิด พระองค์มิถูกกำเนิด พระองค์ มิใช่สสารวัตถุมิใช่พลังงาน มิใช่นามธรรม มิใช่รูปธรรม พระองค์ทรงมีอยู่อย่างแน่นอน ทรงพ้นไปจากญาณวิสัย ของมนุษย์ที่จะพึงสัมผัส สื่อสัมผัสที่มนุษย์มีอยู่นั้น ไม่มีประสิทธิภาพ พอที่จะสัมผัสพระองค์ พระองค์ทรงมองเห็นทุกๆ สิ่งแต่ไม่มีใครสามารถ มองเห็นพระองค์
๒. ศรัทธาในมะลาอิกะฮ์ มุสลิมเชื่อว่าพระองค์อัลลอฮ์ทรงบันดาลมะลาอิกะฮ์ขึ้นมา ซึ่งเป็นข้าทาสของพระองค์รับบัญชาจากพระองค์และปฏิบัติตามคำบัญชา ของพระองค์อย่างมั่นคงที่สุด
๓. ศรัทธาในคัมภีร์ มุสลิมต้องศรัทธาว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานคัมภีร์อันเป็น โองการของพระองค์แก่บรรดามนุษยชาติผ่านศาสนทูต ในแต่ละยุคแต่ละสมัย พระโองการของพระองค์เป็นบทบัญญัติที่มนุษย์จะต้องนำมาปฏิบัติเป็น ธรรมนูญสูงสุดที่ใครจะฝ่าฝืนไม่ได
อัลกุรอาน เป็นภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นภาษาที่มีความไพเราะ ในการออกเสียง และภาษาที่ใช้ความหมายอันลึกซึ้ง ถ้อยคำ เท่าที่ถ่ายทอด มาจากท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เมื่อ ๑,๔๐๐ ปีกว่า ยังได้รับการรักษาไว้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่อักษรเดียว
๔. ศรัทธาต่อศาสนทูต ศาสนทูตผู้ประกาศอิสลาม เรียกว่า “รอซู้ล” หรือเป็นศาสนทูต ที่ไม่ได้ประกาศ ก็จะเรียกว่า “นบี” แต่การให้ความหมายเช่นนี้ไม่ได้ เข้มงวดนัก ส่วนใหญ่จึงใช้ถ้อยคำทั้งสองนี้ หมายความถึงผู้เป็นศาสนทูต ที่ทำการประกาศอิสลาม ผู้เป็นศาสนทูต เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติแบบมนุษย์ธรรมดา ทั่วไป มิใช่ผู้วิเศษ หรือมะลาอิกะฮ์ ศาสนทูตจึงดำเนินชีวิตเหมือนสามัญชน คือ กิน นอน ขับถ่าย และแต่งงาน แต่ศาสนทูตมีคุณลักษณะอันสมบูรณ์เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป อันเป็นคุณลักษณะทางด้านความประพฤติและคุณธรรมอันสูงส่ง นักวิชาการ ได้สรุปคุณลักษณะของศาสนทูตไว้ว่าจะต้องมีครบ ๔ ประการ คือ ๔.๑ ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ไว้วางใจของบุคคลทั่วไป ไม่คดโกง ไม่ตระบัดสัตย์ ๔.๒ มีสัจจะ พูดจริงทำจริง ไม่โกหก ไม่หลอกลวงใคร ๔.๓ มีสติปัญญาเป็นอัจฉริยะ ๔.๔ ทำหน้าที่เผยแพร่โองการจากพระผู้เป็นเจ้าแก่ประชาชน ทั่วไป โดยไม่ปิดบัง และด้วยความตั้งใจสูง มีมานะอดทน เพียรพยายาม ไม่ย่อท้อต่อการขัดขวางของผู้ใดทั้งสิ้น
๕. ศรัทธาในวันสิ้นโลก มุสลิมต้องศรัทธาว่า โลกนี้พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างขึ้นเป็นการ ชั่วคราว สำหรับเป็นแดนที่มนุษย์ได้ดำเนินชีวิตส่วนหนึ่ง เพื่อสู่โลกอันจีรัง และโลกนิรันดร์ต่อไป ดังนั้นโลกที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้จึงต้องมีวาระ ดับสลาย ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าวันดับสลายของโลก หรือวันสิ้นโลกนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด
๖. ศรัทธาในกฎแห่งสภาวการณ์ สภาวการณ์ทั้งหลายถูกกำหนดมาเป็นกฎอย่างตายตัว และแน่นอน ซึ่งต้องดำเนินไปตามที่กำหนดนั้น เช่น แดดเผา ไอน้ำขึ้นไป รวมตัวกันอยู่บนอากาศ เป็นก้อนเมฆ เมื่อลมพัดก็กระจายตกลงมาเป็นฝน ฝนตกลงมาบนพื้นดิน ทำให้อุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้และพืชนานาชนิด งอกงามขึ้นมา มนุษย์และสัตว์ได้รับประโยชน์จากพืชพันธุ์เหล่านั้น เป็นกฎ กำหนดสภาวะซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้ การดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ถูกกำหนดไว้อย่าง เป็นระบบที่แน่นอน ไม่มีใครสามารถฝืนกฎเกณฑ์ดังกล่าวได้ ทุกคนจะต้อง ดำเนินไปตามกฎสภาวการณ์จากมนุษย์คนแรกจนถึงคนสุดท้าย
หลักปฏิบัติศาสนกิจ (อัรกานุลอิสลาม)
หลักปฏิบัติศาสนกิจ หมายถึง หลักศาสนกิจที่อิสลามได้บัญญัติ เป็นพื้นฐานแรกสำหรับมุสลิมทุกคนที่จะต้องนำมาปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ สำคัญที่สุดของอิสลาม ซึ่งเราเรียกว่า “อัรกานุลอิสลาม” มีประกอบกัน ๕ ประการ คือ
๑. การปฏิญาณตน ผู้ประสงค์จะเข้าสู่อิสลาม จะต้องกล่าวคำปฏิญาณตน อย่างเปิดเผยและชัดเจน พร้อมทั้งเลื่อมใสศรัทธาตามที่ตนปฏิญาณ และจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติอย่างจริงใจ การเป็นมุสลิม มิใช่เพียงการกล่าวคำปฏิญาณ หรือเพียงแต่ ประพฤติตามแบบมุสลิมเท่านั้น หากจะต้องประกอบด้วย ความเลื่อมใส ศรัทธาอย่างแท้จริงด้วย องค์ประกอบแห่งการปฏิญาณจะต้องมีพร้อม ทั้ง ๓ ประการ คือ ๑.๑ กล่าวปฏิญาณด้วยวาจา ๑.๒ เลื่อมใสด้วยจิตใจ ๑.๓ ปฏิบัติด้วยร่างกาย
๒. การละหมาด การละหมาด คือ การแสดงความเคารพนมัสการต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา ประกอบด้วย จิตใจ วาจา และร่างกายพร้อมกัน มุสลิมจำเป็น ต้องปฏิบัติละหมาดวันละห้าครั้ง คือ ละหมาดดุห์ริในช่วงบ่าย ละหมาดอัศริ ในช่วงเย็น ละหมาดมัฆริบ ในช่วงตะวันลับขอบฟ้า ละหมาดอิชาอ์ในช่วงหัวค่ำ และละหมาดศุบฮิในช่วงแสงอรุณขึ้น
๓. การจ่ายซะกาต ซะกาต คือ ทรัพย์จำนวนหนึ่งที่ได้กำหนดไว้เป็นอัตราส่วน จากจำนวนทรัพย์ที่เจ้าของทรัพย์ได้มาจนครบพิกัดที่ศาสนาได้บัญญัติไว้ และนำทรัพย์จำนวนนั้นจ่ายออกไปแก่ผู้มีสิทธิ คำว่า “ซะกาต” แปลว่า ความเจริญก้าวหน้า และการขัดเกลา ให้สะอาดเนื่องเพราะเมื่อเจ้าของทรัพย์ได้จ่ายซะกาตออกไป เท่ากับเป็นการ ขัดเกลาจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลสนานาประการ โดยเฉพาะความตระหนี่ ความใจแคบ ซึ่งเป็นกิเลสใหญ่ชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญให้สังคมอยู่กันอย่าง เห็นแก่ตัว ไม่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แน่นอนสังคมที่เต็มไปด้วย ความเห็นแก่ตัว ไม่นานวิกฤติการณ์ก็จะต้องเกิดแก่สังคมนั้น การแก่งแย่ง ฉกชิง กดขี่ ขูดรีด ทำลายกัน และอาชญากรรมต่างๆ จะต้องอุบัติขึ้น
๔. การถือศีลอด-ถือบวช การถือศีลอดหรือการถือบวช ภาษาอาหรับใช้คำว่า “อัศเซาม์” หรือ “อัศศิยาม” ความหมายเดิมหมายถึง การงดเว้น การระงับ การหักห้ามตัวเอง ในนิยามศาสนบัญญัติหมายถึง “การงดเว้นสิ่งที่จะทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะ ตามศาสนบัญญัติ โดยเริ่มตั้งแต่เวลาแสงอรุณขึ้นจวบถึงตะวันตกดิน” การถือศีลอดที่บังคับให้กระทำนั้นมีเฉพาะในเดือนรอมฎอน เท่านั้น ส่วนในวาระอื่นๆ ไม่ได้บังคับแต่ประการใด นอกจากจะมีเหตุปัจจัย อย่างอื่นมาบังคับ เช่น การบนบานไว้ว่าจะถือศีลอดอันมิใช่ในเดือนรอมฎอน อย่างนี้ถือว่าการถือศีลอดตามที่บนบานไว้นั้นถูกบังคับให้กระทำ เป็นต้น
๕. การประกอบพิธีฮัจย์ การประกอบพิธีฮัจย์ครั้งหนึ่งในชีวิตของมุสลิมที่มีความ สามารถพร้อมทั้งทางร่างกายและทางการเงินที่จะเดินทางไปทำพิธี ที่บัยตุ้ลลอฮ์ได้ พิธีฮัจย์เป็นศาสนกิจที่สรุปไว้ซึ่งอุดมการณ์ทางสังคม อย่างครบบริบูรณ์ การที่มุสลิมจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางออกไปจากถิ่นที่อยู่ อาศัยของตนไปสู่พิธีฮัจย์เป็นประจำติดต่อกันมาถึง ๑,๔๐๐ กว่าปีนับเป็น กิจกรรมที่มีความมหัศจรรย์และมีพลังอันแกร่งกล้าทางศรัทธายิ่งนัก สำนึกของผู้เดินทางไปสู่พิธีฮัจย์เป็นสำนึกเดียวกัน จากวิญญาณจิตที่ผนึก เป็นดวงเดียวกัน แม้จะมาจากถิ่นฐานอันแตกต่างกัน มีภาษาผิดแผกกัน มีสีผิวไม่เหมือนกัน มีฐานะต่างกัน มีตำแหน่งทางสังคมไม่เท่ากัน แต่เมื่อ ทุกคนเดินทางมาสู่ศาสนกิจข้อนี้สิ่งเหล่านั้นถูกสลัดทิ้งไปโดยสิ้นเชิง ทุกคน ซึ่งมีจำนวนมหาศาล แต่ก็ร่วมกิจกรรมเดียวกันโดยไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ไม่มีความโกรธเกลียดซึ่งกันและกัน คนเป็นจำนวนล้านไปรวมกันอยู่ใน สถานที่เดียวกัน แต่ไม่มีเรื่องขัดแย้งกัน ทุกคนมีใบหน้าอันยิ้มแย้ม ทักทาย ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกันอย่างไม่ถือเขาถือเรา ผิดพลาดล่วงเกินกันบ้าง ก็พร้อมที่จะให้อภัยแก่กันและกัน
ผู้สืบทอดศาสนา
ศาสนาอิสลามไม่มีพระหรือนักบวชเพื่อทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรม และเผยแผ่ศาสนาโดยเฉพาะ เช่น อิหม่ามก็เป็นเพียงผู้นำในการละหมาด เท่านั้น มิใช่พระที่ทำหน้าที่เป็นกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ดังนั้น อิสลามิกชนทุกคนจึงมีหน้าที่สืบทอดศาสนาอิสลามด้วย การปฏิบัติตนตามหลักการศาสนา ศึกษาและเรียนรู้หลักคำสอนของศาสนา ให้รู้แจ้งเห็นจริง และทำหน้าที่เผยแผ่ตามกำลังความรู้ของตน ท่านศาสดา มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “ผู้รู้คือทายาทของศาสดา”
ศาสนสถานและศาสนวัตถุ
ในศาสนาอิสลาม สถาบันศาสนาได้แก่ “มัสยิด” ซึ่ง เป็นจุดศูนย์กลางสำหรับมุสลิมในท้องถิ่นต่างๆ ในสมัยนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มัสยิดเป็นที่ปฏิบัติศาสนา การประชุม การศึกษา การบริหารประเทศ การแต่งงาน การตัดสินคดีความ ครบทุกด้าน สถาบันมัสยิด จึงเป็นสถาบันบริหารทั้งด้านอาณาจักร และศาสนจักรพร้อมกันไป